วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

Backup รายชื่ออีเมลที่เคยส่งไป


 
 Backup รายชื่ออีเมลที่เคยส่งไป  เป็นอีกจุดหนึ่งที่มักจะลืมและถูกผู้ใช้งานร้องถามหารายชื่ออีเมลที่ตนเองเคยส่งไป แต่มันหายไปหมดแล้วเพราะลืมแบ็คอัพไว้

               
ต่อจากบทความที่แล้วเรื่องของการแบ็คอัพยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะยังมีอีกจุดหนึ่งที่มักจะลืมได้ง่ายและลืมบ่อย ๆ ก็คือ รายชื่ออีเมลที่ผู้ใช้งานเคยส่งออกไป แต่ไม่ได้บันทึกเก็บไว้ใน Contacts Mail ตรงหากไม่ได้แบ็คไว้ก็จะหายไปทันที และจะก็อปปี้รายชื่อจากผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ก็ไม่ค่อยจะได้เพราะรายชื่อแต่ละคนที่ส่งออกไปไม่เหมือนกันทุกคน ใครติดต่องานกับบุคคลภายนอกเยอะก็จะมีอีเมลที่แปลก ๆ มากมาย ยิ่งถ้าเป็นอีเมลระดับหัวหน้าหรือผู้บริหารแล้วละก็ รายชื่ออีเมลสำคัญหายนี่เป็นเรื่องแน่ เจ้าตัวไม่อยากจะไปค้นหาหรือพิมพ์ทั้งหมดแน่ๆ
มาดูวิธีการและขั้นตอนแบ็คอัพครับ

1. โดยปกติ หากเป็นรายชื่ออีเมลที่เคยส่งออกไป พอพิมพ์ตัวอักษรตัวแรก ก็จะโผล่รายชื่อมาให้เห็น โดยที่เราไม่ต้องพิมพ์ใหม่ทั้งหมด แค่คลิกเลือก ทำให้สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องจำชื่อีเมล แต่มีสิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คนลืมก็คือ ไม่ได้บันทึกเก็บไว้ใน Contacts นั่นเอง เพราะเข้าใจว่า Outlook มันจำให้แล้ว ทีนี้หากฟอร์แมตเครื่องก็จะหาย หากไม่แบ็คอัพไว้ 

การแบ็คอัพรายชื่ออีเมลนั้นสามารถเข้าไปแบ็คอัพได้ที่ตำแหน่งดังนี้
C:\Users\win7\AppData\Roaming\Microsoft\Outlook
โดยที่ win7 คื่อชื่อ user account ที่ใช้งานของท่านบนวินโดว์ครับ


2. ไปที่ Tool > Account Settings... 




3. ที่หน้าต่าง Account Settings จะพบรายบัญชีรายชื่ออีเมลที่ตั้งค่าไว้ ให้คลิกแท็บ Data Files 


4. จะเห็นว่าในตัวอย่างนี้ Profile name เป็นชื่อ Outlook ซึ่งใน Outlook เองอาจจะตั้งค่าไว้หลาย ๆ บัญชีอีเมลก็เป็นได้ ให้คลิกOpen Folder...


5.  จะเป็นการเปิดไปยังโฟลเดอร์ที่เก็บอีเมลให้อัตโนมัติ แต่ยังไม่ใช่ตรงนี้นะครับ เราจะใช้ประโยชน์จากตรงนี้กัน

หรือจะเข้าไปตรง ๆ ด้วย Explorer  ที่ตำแหน่ง C:\Users\win7\AppData\Roaming\Microsoft\Outlook ก็ได้


6. คลิกตำแหน่งว่าง ๆ หลัง Outlook ในช่อง address 


7. สังเกตุว่ามันแสดง Address ไล่ตั้งแต่ต้นให้เห็น ทีนี้เราจะเข้าไปแค่ C:\Users\win7\AppData\ 


8. ให้ลบตั้งแต่ Local\Microsoft\Outlook ส่วนที่ไม่ต้องการออกไป โดยการคลิกที่ตำแหน่งสุดท้ายหลัง Outlook อีกครั้งแล้วลบออกไปเรื่อย ๆ หรือคลิกเมาส์ลากคลุมในส่วนที่ต้องการลบแล้ว delete ไปก็ได้


9. ก็จะเหลือแค่ C:\User\win7\AppData\ ประมาณนี้ แล้วกด Enter ไป


10. เปิดโฟลเดอร์ Roaming 


11. เปิดโฟลเดอร์ Microsoft 


12. เปิดโฟลเดอร์ Outlook


13. จะพบไฟล์ Outlook.NK2 นั่นแหละที่เราต้องการเก็บไว้


14. ที่เหลือก็คัดลอกไปเก็บไว้ที่อื่น ก็เรียบร้อยแล้ว


15. จะได้ไฟล์ Outlook.NK2 รายชื่ออีเมล ตัวอย่างนี้ผมมี 2 Profile ก็เลยเอามาทั้ง 2 


16. จะดูอย่างไรว่าในเครื่องเรามีกี่ Profile ก็ตรง Mail ใน Control panel จะบอกอยู่ว่าเราได้สร้าง Profile ไว้ที่ Profile โดยค่าเริ่มต้นมันจะสร้างให้ชื่อ Outlook มาให้

จะให้ง่ายกว่านี้อีก ท่านก็ก็อปปี้ Address นี้ไปใช้ได้เลยก็ได้ เพียงแค่เปลี่ยนชื่อ User account ให้เป็นเครื่องของท่านก็น่าจะได้แล้ว ไม่ต้องทำหลายขั้นตอนให้ยุ่งยาก
C:\Users\win7\AppData\Roaming\Microsoft\Outlook
เปลี่ยนจาก win7 เป็นชื่อ user account ในวินโดว์ของท่านแทน
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ หากยังนึกไม่ออกไว่า user account ดูตรงไหนก็ตามรูปนี้เลย

หวังว่าคงจะเป็นแนวทางที่มีประโยชน์ในการแบ็คอัพรายชื่ออีเมลที่ต้องการนะครับ 
เคดิต: http://www.mydegage.com/

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

เทคนิควิธีค้นหาข้อมูลบน Windows 7 อย่างมือโปร

เทคนิคที่ 1 ค้นหาแบบ Wildcards เช่น ถ้าต้องการค้นหาไฟล์ที่มีชื่อ คำหรือข้อความใดๆก็ตาม ที่มีนามสกุล .mp3 ก็สามารถใช้รูปแบบ “*.mp3 keyword” เช่น “*.mp3 bon jo” ดังรูปตัวอย่าง
wildcards search windows 7
เทคนิคที่ 2 ค้นหาด้วยตัวกรอง kind: วิธีนี้ช่วยให้เราสามารถกรองผลลัพธ์ที่ต้องการค้นหาตามประเภทของไฟล์ ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลรวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยให้วินโดวส์ไม่ต้องค้นหาจากไฟล์ โฟลเดอร์ทั้งหมด โดยให้พิมพ์คำว่า “kind:” ที่ช่องค้นหา จากนั้นวินโดวส์ ก็จะแสดง ดังรูปตัวอย่าง
kind filter
จากนั้นก็คลิกเลือกชนิดหรือประเภทของไฟล์ที่ต้องการค้นหา แล้วก็คีย์เวิร์ดที่ต้องการต่อท้าย เช่น ต้องการค้นหาเพลงของ หิน เหล็ก ไฟ ก็จะพิมพ์ว่า “kind:=music หิน เหล็ก ไฟ” เป็นต้น
เทคนิคที่ 3 ค้นหาด้วยตัวกรอง Date modified: วิธีนี้ช่วยให้เราสามารถกรองผลลัพธ์ที่ต้องการค้นหาตามวันที่แก้ไขล่าสุดของไฟล์ ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลรวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยให้วินโดวส์ไม่ต้องค้นหาจากไฟล์ โฟลเดอร์ทั้งหมด โดยให้พิมพ์คำว่า “datemodified:” ที่ช่องค้นหา จากนั้นวินโดวส์ ก็จะแสดง ดังรูปตัวอย่าง
date modified filter
จากนั้นก็คลิกวันที่ทำการแก้ไขล่าสุดของไฟล์ที่ต้องการค้นหา แล้วก็คีย์เวิร์ดที่ต้องการต่อท้าย เช่น ต้องการค้นหาไฟล์ที่ถูกแก้ไขเมื่อวันที่ 12 เดือน 5 ค.ศ. 2010 ก็จะพิมพ์ว่า “datemodified:‎5/‎12/‎2010″ เป็นต้น ทั้งนั้นทังนี้ ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเซ็ตวันที่ในเครื่องวินโดวส์ของคุณ
เทคนิคที่ 4 ค้นหาด้วยตัวกรอง size: วิธีนี้ช่วยให้เราสามารถกรองผลลัพธ์ที่ต้องการค้นหาตามขนาดของไฟล์ ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลรวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยให้วินโดวส์ไม่ต้องค้นหาจากไฟล์ โฟลเดอร์ทั้งหมด โดยให้พิมพ์คำว่า “size:” ที่ช่องค้นหา จากนั้นวินโดวส์ ก็จะแสดง ดังรูปตัวอย่าง
size filter
จากนั้นก็คลิกตามลิสต์ของขนาดไฟล์ที่ต้องการค้นหา แล้วก็คีย์เวิร์ดที่ต้องการต่อท้าย เช่น ต้องการค้นหาไฟล์ที่มีขนาดตั้งแต่ 10 – 100 KB ก็จะพิมพ์ว่า “size:small” เป็นต้น
เทคนิคที่ 5 ค้นหาโปรแกรมที่ต้องการเปิด: วิธีนี้ช่วยให้เราสามารถค้นหาโปรแกรม ที่เราต้องการเปิดรันได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย โดยไม่ต้องไปคลิก Browse หรือ เปิดเมนู All Program  เช่น ถ้าต้องการเปิดโปรแกรม Windows live messenger ก็ให้คลิกที่ปุ่ม Start > พิมพ์คำหรือคีย์เวิร์ดที่ต้องการ ในช่อง Search programs and files  ในที่นี้ผมค้นหาด้วยคำว่า “live” ดังรูปตัวอย่าง
search program
เท่านี้ก็สามารถเปิดโปรแกรมที่เราต้องการ หรือค้นหาไฟล์อื่นๆได้แล้วหล่ะครับ ลองนำเทคนิควิธีค้นหาข้อมูลบน Windows 7 อย่างมือโปร ไปใช้กันดูนะครับ
เคดิต:http://webmonster.sapaan.net/

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

การลง windows7 แบบไม่ต้องให้มี Partition100Mb

ขั้นตอนการลบไดร์ฟ 100 MB System Reserved Partition เมื่อติดตั้ง Windows 7

1.ขณะติดตั้ง Windows 7 (โดยใช้แผ่น) ให้กดปุ่ม Shift + F10 ที่หน้าติดตั้งหน้าแรก
(หน้าที่ให้เลือกภาษา เลือกคีย์บอร์ด) จะมีหน้า command promt ขึ้นมา
2.พิมพ์คำสั่ง diskpart เพื่อเรียกใช้ชุดจัดการพาร์ติชั่นของ Windows 7

diskpart

3.จากนั้นพิมพ์คำสั่งดังต่อไปนี้

list disk (จะแสดง ID ของฮาร์ดดิสก์ทั้งหมดภายในเครื่อง เรียงลำดับจาก 0
โดยฮาร์ดดิสก์มาตรฐานที่อยู่ในเครื่องทั่วไปคือ 0)
select disk 0 (เรียกฮาร์ดดิสก์ไอดี 0 (ศูนย์) ขึ้นมาเพื่อเตรียมทำงาน)
clean (ลบค่าต่างๆ)
create partition primary size=50000
(สร้างไดร์ฟขึ้นมาเพื่อทำเป็นไดร์ฟสำหรับติดตั้ง Windows 7 ขนาด 50GB (หน่วยเป็น MB)
ใครมากน้อยกว่านี้ก็คำนวณเอาเอง
select partition 1 (เลือกพาร์ติชั่น 1 ตามที่ได้แบ่งไว้ตามคำสั่งด้านบน)
active (สั่งให้พาร์ติชั่น 1 active สำหรับการบู๊ตระบบปฏิบัติการ)
format fs=ntfs quick (ฟอร์แมตแบบเร็ว โดยรูปแบบดิสก์แบบ ntfs)
exit (ออกจาก diskpart)
exit (อีกครั้งเพื่อออกจาก command promt)

4.จากนั้นก็ทำการติดตั้ง Windows 7 ตามปกติ ขณะเลือกไดร์ฟ ก็ให้เลือกเป็นไดร์ฟแรก (ตามที่แบ่งไว้) เรียบร้อย
อนุญาตให้สมาชิกขอบคุณกระทู้ของคุณ:MangSabb
มารเหนือเทพworawajกฤษหมอน, krooboonsong, kveeraVIOSNunfather™essoping-pongใข่ลุก2Art_$er-nui101
สำหรับกระทู้นี้, 13 สมาชิก ได้ขอบคุณ!

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

วิธีการ Converting MBR Partition ไปเป็น GPT Partition โดยใช้คำสั่ง Diskpart ผ่านทางCommand Line

1.ให้เราทำการคลิกที่ปุ่ม Start แล้วไปในช่องค้นหาแล้วพิมพ์คำว่า cmd ตามภาพข้างล่าง แล้วทำการคลิกขวาที่ cmd.exe แล้วทำการคลิก Run as administrator
รูปภาพ

2.จากนั้นมันจะเข้ามาสู่หน้าต่าง Microsoft Windows [Version 6.1.7600] หน้าต่าง Command Line นั้นเอง
รูปภาพ
3.จากนั้นพิมพ์คำสั่งว่า Diskpart
รูปภาพ
4.จากนั้นมันจะเข้ามาสู่โปรแกรม Microsoft DiskPart version 6.1.7600 นะครับ
รูปภาพ
5.จากนั้นเราทำการพิมพ์คำว่า list disk เพื่อแสดงผลว่ามันมี disk อะไรอยู่บ้างนะครับ
รูปภาพ
6.หลังจากเราทำการพิมพ์คำสั่ง list disk ภาพข้างล่างคือผลลัพธ์ของการพิมพ์คำสั่ง
รูปภาพ
7.จากนั้นเราพิมพ์คำสั่ง select disk 2 เพื่อทำการเลือก disk  2
รูปภาพ

8.ผลลัพธ์หลังจากการพิมพ์ select disk 2
รูปภาพ

9.จากนั้นเราจะเริ่มทำการ convert ไปยัง gpt โดยการพิมพ์คำสั่ง convert gpt
รูปภาพ
10.ผลลัพธ์หลังจากการพิมพ์คำสั่ง convert gpt
รูปภาพ
11.เมื่อเสร็จแล้วเราก็พิมพ์คำสั่ง exit เพื่อออกจากโปรแกรม diskpart 
รูปภาพ

จบแล้ว

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วิธีเปลี่ยน SID ของ Computer ที่เป็น Windows7 และ Windows Server 2008

Tagged:

clip_image002.jpg

Published on October 16, 2012 with No Comments

วิธีเปลี่ยน SID ของ Computer ที่เป็น Windows7 และ Windows Server 2008
· เครื่องที่มี SID เดียวกันเกิดจากการ Clone มาใช้งาน
· SID เดียวกัน หรือ SID ชนกัน จะมีผลหากเอามาใช้เชื่อมต่อกันในระบบ Network หรือ Active Directory
· เราไม่ควรใช้งานเครื่องที่ได้จากการ Clone โดยที่มี SID เดียวกัน
สมัยก่อนหากใช้เครื่องมือ NEWSID.exe จะช่วยให้การสร้าง SID ของเครื่องใหม่เป็นได้รวดเร็วกว่า Sysprep ครับ
clip image002 thumb6 วิธีเปลี่ยน SID ของ Computer ที่เป็น Windows7 และ Windows Server 2008
แต่ Windows7 และ Windows Server 2008 ไม่รองรับเครื่องนี้ newsid.exe แล้วนะครับ ถ้าเอาไป run จะทำให้เครื่องเกิด BSOD ได้
ดังนั้นเครื่อง Windows7 และ Windows Server 2008 สามารถทำการสร้าง SID ใหม่ได้โดยการใช้ Sysprep เท่านั้นครับ
เครื่องมือ SYSPREP มีมาพร้อมกับระบบอยู่แล้ว
วิธีการ Reset SID ด้วย Sysprep
1. พิมพ์ Sysprep ที่ RUN จะมี Folder Sysprep โผล่ขึ้นมา ถ้ายังหาไม่เจอให้เข้าไปเองได้ที่ c:\Windows\System32.
2. ทำการ Double Click Sysprep.exe
3. หลังจากโปรแกรม Sysprep โผล่ขึ้นมา ให้เลือก Enter System Out-of-Box Experience (OOBE) และเลือก Generalize จากนั้นเลือก Reboot ด้วยครับ ระบบจะ Reboot แล้วกลับมาสู่หน้าจอให้เลือก Accept License Agreement อีกทีนึงครับ
clip image003 thumb4 วิธีเปลี่ยน SID ของ Computer ที่เป็น Windows7 และ Windows Server 2008
clip image004 thumb1 วิธีเปลี่ยน SID ของ Computer ที่เป็น Windows7 และ Windows Server 2008
clip image005 thumb1 วิธีเปลี่ยน SID ของ Computer ที่เป็น Windows7 และ Windows Server 2008

ที่มา :www.mvpskill.com

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แชร์เครื่องพิมพ์ จาก Windows XP ให้กับ Windows 7 ไม่ได้

เมื่อวันก่อนนี้ เจอปัญหาว่า มีเครื่องที่เราทำการแชร์เครื่องพิมพ์ไว้ เป็น PC  ติดตั้ง Windows XP
และหน่วยงานต้องการแชร์เครื่องพิมพ์ให้กับ Notebook  ที่ติดตั้ง Windows 7  ไว้  เมื่อทำการ
แชร์จากเครื่อง PC เมื่อ Connect  จาก Notebook ที่ใช้ Windows 7 ไม่สามารถทำได้ จึง
รู้สึกว่าต้องมีปัญหาในทางเทคนิค ได้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมใน Google และได้พบ บทความของ
ต่างประเทศ เมื่อได้ลองเอาไปทำดู ผลปรากฏว่า สามารถเชื่อมต่อได้ จึงได้เอาใส่ไว้ใน เว็บนี้
ลองทำตามขั้นตอน ดังนี้นะครับ
1. ตรวจสอบสถานะเครื่องพิมพ์ที่เครื่อง Windows XP ว่า เราได้ทำการแชร์เครื่องพิมพ์แล้ว
2. คลิกขวาเมส์ และเลือกคำสั่ง Sharing
3. ตรวจสอบชื่อเครื่องพิมพ์ และสถานะของเครื่องพิมพ์ว่า ถูกต้องหรือไม่  (ชื่อ ต้องน้อยกว่า 8 ตัวอักษร)
4. ตรวจสอบชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์  โดยคลิกปุ่มเมาส์ด้านขวา ที่ My Computer
    และเลือก  Propereties  และ เลือกแท็บ Computer Name จะได้ชื่อคอมพิวเตอร์
5. คลิกเมนู  Start  และ เลือก  Run  ให้พิมพ์
     \\ชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์  หรือ หมายเลข IP ของ เครื่องที่แชร์เครื่องพิมพ์  และกด Enter   เช่น
     \\trufaster      หรือ \\192.168.5.xx    และ กด Enter
6. ถ้าทุกอย่าง OK  Windows 7 ควรที่จะเชื่อมต่อเครื่องพิมพ์ได้  แต่ถ้าไม่ได้ ให้ทำตาม
     ขั้นตอน ดังนี้
7. คลิก ที่ปุ่ม  Start  และเลือก แท็บ  Device  and Printer

8. ให้คลิกปุ่ม  Add a printer  ด้านบน   ตามภาพ

9. เลือก  Add a local  printer   ตามภาพ
10. ต่อไปให้คลิก Create  a  new  port  และเลือก  Local  port  จากรายการ  และเลือก Next

11. เมื่อคลิก Next  จะได้ หน้าต่างใหม่ 1 อัน  ให้พิมพ์  ชื่อ เครื่องคอมพิวเตอร์ และชื่อเครื่องพิมพ์
      ที่แชร์ไว่้ และคลิกปุ่ม  OK

12. เครื่องคอมพิวเตอรืจะทำการ ค้นหา Driver ของเครื่องพิมพ์ให้ 

13. ถ้ามีไฟล์  Driver  อยู่ที่รองรับ Windows 7 ก็ให้กดปุ่ม  Have Disk  และเข้าไปที่
      folder  ที่เก็บไฟล์ไว้ ได้เลย แต่ถ้าไม่มีต้องเข้าไป Download ที่เว็บไซต์ของแต่ละ
     ผลิตภัณฑ์  เอาเองนะครับ 
สามารถเข้าไปดู เนื้อหาต้นฉบับ ที่ เว็บที่ผมหามาได้ แต่เป็นของฝรั่งนะ  ตามลิงค์ด้านล่าง
http://www.howtogeek.com/howto/windows-7/share-files-and-printers-between-windows-7-and-xp/

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วิธีแก้ปัญหา svchost.exe ใช้งาน CPU 100% (ที่ไม่ใช่ไวรัส)







หลายคนคงเคยเห็นปัญหา svchost.exe ใช้งาน CPU 100% บ่อยๆ โดยที่เราก็ไม่รู้สาเหตุ scan ไวรัสก็แล้วมันก็ไม่หาย และก็คงยังสงสัยกันอยู่ว่า ตกลงไอ้เจ้า svchost.exe มันเป็นไวรัสหรือเปล่า ซึ่งถ้าถามผมก็ต้องตอบว่า เป็นและไม่เป็น 

“svchost.exe” หรือชื่อเต็มๆของมันคือ “Generic Host Process for Win32 Services” ซึ่งเป็นส่วนของ System process อีกตัวหนึ่ง ในระบบปฏิบัติการ Windows เมื่อมันถูกสั่งให้รันหรือทำงานโดย Windows ผู้ใช้งานไม่สามารถทำการหยุด, terminate,end process หรือ restart ได้ แต่ถ้าเราเผลอไป end proces ก็จะทำให้เครื่องของเราทำงานผิดพลาดได้ โดยเฉพาะในเรื่องของ Network

ตำแหน่งที่อยู่ของ svchost.exe จะอยู่ที่ “%windir%\System32" หรือทั่วๆไป ก็คือ “C:\Windows\System32" หาก ไม่อยู่ในตำแหน่งดังกล่าว สรุปได้เลยว่าเป็นไวรัส ซึ่งมีไวรัสหลายตัวพยายามสร้างชื่อ process เลียนแบบ svchost.exe เช่น W32.Welchia.Worm ,W32.Assarm@mm ,W32/Jeefo ,SCVHOST.exe (Gaobot viruses), Svch0st.exe (Backdoor.Graybird viruses), Svchos1.exe (W32.HLLW.Gaobot.DK virus), Svchost32.exe (Backdoor.IRC.Zcrew), W32.HLLW.Deborms.C, W32.Mimail.J@mm,  W32.Paylap.@mm,  Svhost.exe (Backdoor.Socksbot, Bat.Boohoo.Worm, W32.Bolgi.Worm)  Tongue

จะ เห็นว่ามีไวรัสหลายตัวพยายามจะสร้าง process หลอกลวงขึ้นมา แต่ในเบื้องต้นเราสามารถสังเกตเห็นได้ง่ายๆ จากชื่อ Process ใน Task Manager (ถ้ายังเปิดได้) เช่น
- SCVHOST.exe
- Svch0st.exe
- Svchos1.exe
- Svchost32.exe
- Svhost.exe

Process เหล่านี้ถ้าเราสังเกตให้ดี ก็จะรู้ได้ไม่ยากครับว่ามันคือไวรัสเพราะชื่อมันยังไงก็ไม่เหมือน svchost.exe ส่วนวิธีกำจัดไวรัสจำพวกนี้มันก็ต้องแล้วแต่กรณีครับ


สาเหตุที่ svchost.exe (ไม่ใช่ไวรัส) ใช้งาน CPU 100% เกิดขึ้นเมื่อ Windows XP มีการสั่ง Automatic Update (โดยเครื่องนั้นต้อง turn on Automatic Update เอาไว้ด้วย)












วิธีแก้ปัญหาขั้นที่ 1

อย่าง ง่ายที่สุดก็คือ Turn off Automatic Update อันนี้แก้ที่ต้นเเหตุครับ โดยคลิกขวาที่ My Computer > Properties > เลือกแท็บ Automatic Updates > จากนั้นเลือกที่ Turn off Automatic Updates > Apply > OK เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ

แต่ถ้าใครที่เจอปัญหานี้เข้าแล้ว และไม่สามารถแก้ได้ตามวิธีข้างต้น สามารถทำได้ดังวิธีต่อไปนี้นะครับ



วิธีแก้ปัญหาขั้นที่ 2(ใช้เมื่อทำขั้นแรกแล้วไม่หาย)
1 โฆลดเครื่องมือจากที่นี่ http://www.mediafire.com/?comwzati2gn
2. แตกไฟล์ไว้ที่ desktop ครับ จะเห็นปรากฎ 3 ไฟล์ตามในรูป




3. boot เครื่องใหม่เพื่อเข้า safe mode (ต้องล็อกอินในฐานะ Admintrator ด้วยนะครับ)
4. ดับเบิ้ลคลิกไฟล์ตามลำดับ 1 ,2 และ 3 (ทำเช่นเดียวกับการลงโปรแกรม)
5. restart เข้าสู่ mode ปกติครับ

โชคดีครับ

ที่มา :http://www.oknation.net